วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

รูหนอนกาลเวลา

:)  Shalunla

รูหนอนกาลเวลา




          รูหนอนเป็นสมมติฐานของกาล-อวกาศที่โค้งงอซึ่งจะได้รับอนุญาตโดยสมการสนามของไอน์สไตน์ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางผ่านรูหนอนเว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า รูหนอนทะลุได้ (traversable wormhole) เท่านั้น

          เครื่องมือสำหรับการเดินทางย้อนเวลาที่นำเสนอโดยใช้รูหนอนทะลุได้ (ตามสมมุติฐาน) จะทำงานในลักษณะดังต่อไปนี้: ปลายด้านหนึ่งของรูหนอนจะถูกทำให้เคลื่อนที่จนมีความเร่งอย่างมีนัยสำคัญบางอย่างเป็นสัดส่วนของอัตราเร็วของแสง ซึ่งอาจจะใช้ระบบขับเคลื่อนขั้นสูงบางอย่าง และสามารถที่จะนำปลายด้านนี้กลับไปที่จุดเริ่มต้นได้ หรืออีกวิธีหนึ่งคือการใช้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ณ บริเวณปากทางเข้าของรูหนอนและเคลื่อนย้ายมันไปให้อยู่ภายในสนามแรงโน้มถ่วงจากวัตถุที่มีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าบริเวณปากทางเข้าอีกทางหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ย้ายมันกลับไปยังตำแหน่งเดิม สำหรับทั้งสองวิธีการดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดการยืดออกของเวลาของส่วนทางด้านปลายของรูหนอนด้านที่ถูกทำให้เคลื่อนที่ไปทำให้ได้อายุเวลาที่มีค่าน้อยกว่าด้านส่วนปลายที่อยู่นิ่ง ๆ กับที่




       แม้ไอนสไตน์จะคิดว่าเรื่องของหลุมดำมันแปลกประหลาดมาก แต่เขาก็แสดงต่อไปว่ามันแปลกประหลาดกว่านั้นอีก คือในใจกลางหลุมดำมีรูหนอน ซึ่งนักคณิตศาสตร์เรียกว่า อวกาศที่เชื่อมต่อกันแบบพหุ นักฟิสิกส์เรียกว่ารูหนอน เนื่องจากมันก่อให้เกิดทางเชื่อมลัดระหว่างจุดสองจุด คล้ายรูที่หนอนขุดในดิน หรืออาจเรียกอีกอย่างว่าทางผ่านเชื่อมมิติ แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไร อนาคตมันอาจเป็นหนทางสำหรับการเดินทางข้ามมิติ
       ทัศนคติของไอนสไตน์ต่อเรื่องนี้คือ แม้ว่า รูหนอนอาจมีอยู่จริง แต่สิ่งมีชีวิตคงไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านมันและรอดไปบอกเรื่องราวให้ใครฟังได้
       ทฤษฎีของไอนสไตน์ที่เชื่อมโยงอวกาศและเวลาเข้าเป็นหนึ่งเดียวจนแยกจากกันไม่ออก ผลคือรูหนอนใดๆก็ตามที่เชื่อมจุดสองจุดซึ่งอยู่ห่างจากกันในอวกาศเข้าหากันได้ มันอาจเชื่อมโยงจุดสองจุดที่อยู่ห่างไกลในเวลาเข้าหากันได้ด้วย กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทฤษฎีของไอนสไตน์ยอมรับเรื่องความเป็นไปได้ในการเดินทางข้ามกาลเวลา
       เกอเดลทราบดีถึงปฏิทรรศน์ซึ่งอาจเกิดเนื่องจากคำตอบของเขา นั่นคือความเป็นไปได้ที่จะพบกับตัวของคุณเองในอดีตและเปลี่ยนแปลงแนวทางของประวัติศาสตร์ได้ เขาเขียนว่า ด้วยการเดินไปกับยานอวกาศโดยเคลื่อนที่เป็นวงขนาดใหญ่มากพอแล้วย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น ในจักรวาลเหล่านั้นมันเป็นไปได้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณใดๆก็ตามของอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต และย้อนกลับมาอีกครั้งในลักษณะเดียวกับที่เป็นไปได้ที่จะเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้นในอวกาศ เรื่องนี้ดูเหมือนซ่อนนัยยะไม่สมเหตุไว้ เนื่องจากมันทำให้ใครก็ตามที่สามารถเดินทางกลับไปในอดีตที่ย้อนไปไม่ไกลนักในสถานที่ทีเขาเคยใช้ชีวิตมาก่อน ที่นั่นคุณจะพบตัวคุณเอง

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

ดาว จีเจ 1214 บี

:)  Shalunla

จีเจ 1214 บี


       “ซูเปอร์เอิร์ธ” (super-Earth) คือชื่อเรียกดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่ขนาดใหญ่กว่าโลกเพียง 2-3 เท่า โดยดาวเคราะห์ที่นักดาราศาสตร์ค้นพบชั้นบรรยากาศคือดาวที่มีชื่อ “จีเจ 1214บี” (GJ 1214b) ซึ่งไซน์เดลีระบุว่าดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรอยู่รอบดาวแคระแดงที่อยู่ห่างออกจากโลกออกไป 40 ปีแสง และเป็นดาวเคราะห์ที่มีรัศมีกว่าโลก 2.7 เท่า และมีมวลมากกว่าโลก 6.5 เท่า
     
       นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ดวงนี้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปี ค.ศ.2009 ซึ่งครั้งนั้นพวกเขารายงานว่าโลกใหม่ที่ค้นพบนั้นมีสัญญาณของชั้นบรรยากาศหนาๆ อยู่ มาถึงตอนนี้งานวิจัยที่นำทีมโดย เจค็อบ บีน (Jacob Bean) ศาสตราจารย์จากศูนย์ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ฮาร์วาร์ด-สมิทโซเนียน (Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics) ได้วัดและคำนวณขนาดของชั้นบรรยากาศออกมาได้เป็นครั้งแรก
       “นี่เป็นดาวเคราะห์ซูเปอร์เอิร์ธดวงแรกที่เรารู้จักว่ามีชั้นบรรยากาศ แต่ด้วยการวัดคำนวณชั้นบรรยากาศครั้งนี้เรายังไม่อาจบอกได้ว่าชั้นบรรยากาศนั้นเกิดจากอะไร ดาวเคราะห์ดวงนี้ค่อนข้างขี้อายและปิดบังธรรมชาติของมันไม่ให้เราเห็น” ศ.บีนให้ความเห็น และบอกด้วยว่าตอนนี้เรามาถึงหลักไมล์บนถนนที่มุ่งหน้าสู่การระบุลักษณะของดาวเคราะห์ลักษณะนี้
     
       ดาวเคราะห์ จีเจ 1214บี โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงเล็กๆ ที่ไม่สว่างมาก ทำให้ง่ายต่อนักวิทยาศาสตร์ที่จะศึกษาชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนี้ โดยทีมวิจัยอาศัยช่วงเวลาที่ดาวเคราะห์ผ่านหน้าดาวฤกษ์ของตัวเอง ระหว่างนั้นแสงของดาวฤกษ์จะถูกกรองผ่านชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ ก๊าซในชั้นบรรยากาศจะดูดกลืนความยาวคลื่นแสงบางช่วงหรือบางสีของคลื่นแสง ซึ่งจะทิ้งหลักฐานเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีให้นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบกันบนโลก คล้ายกับนักดาราศาสตร์ได้ค้นพบไอก๊าซไฮโดรเจนและโซเดียมในชั้นบรรยากาศของ “ดาวพฤหัสบดีเดือด” ที่อยู่แสนไกล
     
       ด้าน เดวิด ชาร์บอนนิว (David Charbonneau) นักดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยครั้งนี้แต่เป็นผู้นำทีมค้นพบดาวเคราะห์ จีเจ 1214แสดงความเห็นด้วยว่าการค้นพบล่าสุดนี้มีความสำคัญ และเป็นหลักไมล์ในการศึกษาคุณลักษณะของดาวเคราะห์ซูเปอร์เอิร์ธนี้
       “ในเวลาไม่ถึง 10 ปี เราได้ก้าวไปถึงการศึกษาชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์อื่นที่คล้ายดาวพฤหัสบดี ไปจนถึงดาวเนปจูนและดาวเคราะห์ซูเปอร์เอิร์ธ ดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงกับโลกจะเป็นคิวถัดไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม” ชาร์บอนนิวให้ความเห็น
     
       ศ.บีนบอกทางเอเอฟพีว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้ร้อนเกินกว่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ โดยในบริเวณที่มีความดันบรรยากาศเท่าๆ กับที่พบในระดับน้ำทะเลของโลกนั้น มีอุณหภูมิสูงถึง 500 องศาเซลเซียส ถึงกระนั้นดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เป็นดาวเคราะห์ที่เล็กกว่า เย็นกว่าและคล้ายโลกมากกว่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงอื่นๆ อีกกว่า 500 ดวงที่พบแล้ว และดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะส่วนใหญ่ที่พบนั้นคล้าย “ดาวพฤหัสบดีเดือด” เสียมากกว่า เนื่องจากดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ที่พบมีขนาดใหญ่ มีก๊าซมากและยังร้อนจัดอีกด้วย
     
       จีเจ 1214บี โคจรครบรอบดาวฤกษ์ของตัวเองทุกๆ 38 ชั่วโมง ด้วยระยะทางห่างแค่ 2 ล้านกิโลเมตร ซึ่งใกล้กว่าระยะระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ถึง 70 เท่า ทั้งนี้ ทีมวิจัยศึกษาดาวเคราะห์ดวงนี้ในย่านรังสีอินฟราเรดใกล้ที่มีความยาวคลื่น 780-1,000 นาโนเมตร โดยใช้กล้องโทรทรรศน์บนภาคพื้นดินเวรีลาร์จ (Very Large Telescope) ขององค์การอวกาศยุโรป (อีซา) ในหอดูดาวพารานัล (Paranal Observatory) ที่ชิลี และการศึกษาเพิ่มเติมโดยใช้ย่านรังสีอินฟราเรดกลางและไกล อาจช่วยตอบคำถามได้ว่าดาวดวงนี้เป็นไอน้ำร้อนหรือดาวก๊าซกันแน่


วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

'ดาวไทรทัน' บริวารของเนปจูน

:)  Shalunla

ไทรทัน : Tritan

'ดาวบริวารของเนปจูน'




       ไทรทัน เป็นดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน เป็นสถานที่เพียงหนึ่งในสามแห่งในระบบสุริยะ ที่มีก๊าซไนโตรเจนในบรรยากาศ นอกเหนือจากโลก และดาวบริวารไททัน (Titan Moon) ของดาวเสาร์
       ไทรทันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,707 ก.ม. มีอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ -235 องศาเซลเซียส (35 เคลวิน) สภาพภูมิประเทศเป็นหุบเหวและร่องลึกมากมาย เนื่องจากอุณหภูมิที่ต่ำทำให้เกิดน้ำแข็ง และน้ำแข็งละลายกลับไปกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนั้นยังมีภูเขาไฟน้ำแข็ง (Ice Valcanoes) ที่พ่นน้ำพุแรงดันสูง ประกอบด้วยไนโตรเจนเหลว มีเทนแข็ง และฝุ่นที่เย็นจัดขึ้นไปกว่า 8 กิโลเมตร เหนือพื้นผิวของดาวบริวาร
       ลักษณะพื้นผิวดาวบริวารจะแวววาวจากหินแข็ง โดยมีส่วนผสมด้วยละอองอนุภาคสีดำขนาดเล็ก ถูกหุ้มด้วยผลึกน้ำแข็ง (เกิดจาก Ice carbonaceous) มีส่วนประกอบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน และก๊าซมีเทน ฟุ้งกระจายเป็นหมอกบางๆ เหนือพื้น โดยมีน้ำแข็งทั้งหมดประมาณ 25%
       ไทรทันเป็นวัตถุแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt Object) มีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณขอบของระบบสุริยะ เลยวงโคจรของดาวพลูโต ออกไปและถูกดาวเนปจูนดูดจับเข้ามาเป็นบริวาร รูปทรงสัณฐานของไทรทันที่สังเกตเห็น จะมีแนวเฉดฟ้าอ่อนจาก Nitrogen ice เช่นเดียวกับไอของน้ำแข็งแห้ง




       นักวิทยาศาสตร์คิดว่าพวกเขาได้ตรวจพบระลอกคลื่นของของเหลวบนพื้นผิวของดาวดวงอื่นแล้ว โดยตรวจพบสัญญาณบ่งชี้ถึงระลอกคลื่นที่กระจายตัวแยกจากกัน อยู่ในทะเลที่ชื่อ Punga Mare บนดาวบริวารไททัน ซึ่งเป็นดาวบริวารดวงใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ เพียงแต่ของเหลวที่อยู่ในทะเลบนไทรทันนั้นไม่ใช่น้ำ กลับเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน อย่างมีเทนหรืออีเทน ซึ่งสามารถคงสถานะในรูปของเหลวได้ ในภาวะอุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวไทรทันที่ประมาณ -180 องศาเซลเซียส
       Dr.Jason Barnes นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์จากมหาวิทยาลัย Idaho ได้อภิปรายถึงรายละเอียดเกี่ยวกับผลงานการค้นพบของเขาชิ้นนี้ ในงานประชุมวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ (LPSC) ครั้งที่ 45 ที่รัฐเท็กซัส สหรัฐฯ
       ดาวบริวารไทรทันเป็นเสมือน “กระจก” ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดที่สะท้อนสภาพของโลก ตรงที่ดาวบริวารดวงนี้มีบรรยากาศหนาทึบ มีวัฏจักรฤดูกาล มีลมและฝนคอยช่วยปรับสภาพพื้นผิวดาว เกิดลักษณะภูมิประเทศรูปแบบต่างๆเช่น ลำธาร ทะเล เนินทราย และชายฝั่ง เช่นเดียวกันกับโลก
       แต่ลักษณะที่คล้ายคลึงกันส่วนใหญ่ระหว่างโลกและไทรทันก็มุมที่ต่างกันอยู่ เช่น วัสดุตามภูเขาหรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเนินบนไทรทันเป็นน้ำแข็ง ต่างจากบนโลกที่เป็นหินหรือทราย ขณะที่ของเหลวที่มีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการต่างๆตามธรรมชาติบนโลก คือ น้ำ แต่ในกรณีของไทรทันเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแทน
       ทะเลสาบและทะเลของไทรทันส่วนใหญ่นั้น จะอยู่ในบริเวณพื้นที่ขั้วเหนือของดาว นักวิทยาศาสตร์ประมาณไว้ว่า หนึ่งในแหล่งของเหลวเหล่านี้ที่ชื่อ Ligeia Maria บรรจุของเหลวราว 9,000 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตร ซึ่งของเหลวส่วนใหญ่เป็นมีเทน และถือว่าเทียบเท่า 40 เท่าของปริมาณสำรองปิโตรเลียม (รวมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) ที่พิสูจน์แล้วบนโลก
       Dr.Barnes ได้ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในการสำรวจว่า ลักษณะการสะท้อนแสงอาทิตย์บริเวณขั้วเหนือของไทรทัน เป็นลักษณะที่อยู่ร่วมกันกับคลื่นบนผิวทะเลของไทรทันหรือไม่
       “เราคิดว่าเราได้ค้นพบระลอกคลื่นที่อยู่นอกโลกที่แรกแล้ว” เขากล่าวระหว่างการประชุมวิชาการ “สิ่งที่เราพบนั้น ดูมีความสอดคล้องว่าจะเป็นระลอกคลื่นที่อยู่บนบางพื้นที่ใน Punga Mare โดยมีมุมชันของพื้นผิวที่ 6 องศา
       ถึงแม้เขายังกล่าวถึงพื้นผิวดังกล่าวว่ามีสภาพอื่นๆที่อาจเป็นไปได้ เช่น หาดใต้ทะเล (Mudflat) แต่การคาดการณ์ให้น้ำหนักว่าเป็นระลอกคลื่นมากกว่า โดย Dr.Barnes ได้คำนวณไว้ว่าที่ความเร็วลมประมาณ 0.75 เมตร/วินาที เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการเกิดระลอกคลื่นที่มีมุมชันของผิวคลื่นที่ 6 องศา ซึ่งส่งผลให้ระลอกคลื่นนี้มีความสูงเพียงแค่ 2 เซนติเมตรเท่านั้น
       อย่างไรก็ตาม ไทรทันก็ปรากฏถึงความเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลด้วย ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ในการทำความเข้าใจถึงดาวบริวารที่ซับซ้อนดวงนี้ได้ดีขึ้น
       “สิ่งที่คาดการณ์ไว้คือ ทุกๆวันบนไทรทันในปัจจุบันนี้ กระแสลมบริเวณซีกเหนือของดาวกำลังแรงขึ้น เมื่อซีกดาวฝั่งนี้กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน จนส่งผลให้เริ่มเกิดคลื่นบนผิวทะเล” Ralph Lorenz จากห้องปฏิบัติการณ์ฟิสิกส์ประยุกต์ John Hopkins (JHUAPL) ที่รัฐ Maryland ของสหรัฐฯ กล่าวไว้
       “คุณจะเห็นได้ว่ามีปรากฏการณ์ทำนองเดียวกันนี้ อย่าง Wind set-up  โดยกระแสลมเหนือผิวน้ำทำให้ของเหลวไปสะสมตัวรวมกันอีกด้าน ซึ่งสามารถเป็นต้นเหตุให้เกิด Storm Surge ได้





“เสียงก้อง” จากภาวะน้ำขึ้น-น้ำลง

       ในการนำเสนอของ Dr.Lorenz ในงานประชุมวิชาการ LPSC เขาได้ให้ความสนใจไปที่ลักษณะภูมิประเทศแบบ “คอคอด” บนไทรทัน ซึ่งอยู่ระหว่างทะเลขนาดใหญ่ 2 แห่ง เรียกทะเลทั้งคู่รวมๆกันว่า Kraken Mare ซึ่งเป็นทะเลที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดบนไทรทัน
       คอคอดดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า “คอคอด Kraken” ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกันกับขนาดของช่องแคบยิบรอลตาร์ที่อยู่ระหว่างสเปนกับโมร็อกโก และอาจมีกระแสของเหลวความเร็วสูง ที่ขับเคลื่อนจากปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงไหลผ่านในช่องแคบแห่งนี้
       Dr.Lorenz ได้มองไปยังกรณีของโลก ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ส่งผลให้เกิดกระแสน้ำวนอยู่หลายแห่ง และในกรณีอ่าว Corryvreckan ใกล้ชายฝั่งของสกอตแลนด์ ที่มีกระแสน้ำวนปั่นป่วนเนื่องจากน้ำขึ้น-น้ำลง ทำให้เกิดเสียงดังที่ได้ยินจากระยะห่างออกไปราว 16 กิโลเมตร ซึ่งเขาคาดคะเนว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นที่คอคอด Kraken บนไทรทัน 
       “เราใช้เรดาร์สำรวจจนได้แผนที่พื้นผิว ของดาวบริวารไทรทันเกือบทั่วทั้งดวงแล้ว แต่เนื่องจากตอนนี้ ซีกเหนือของไทรทันกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนขึ้นเรื่อยๆ แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังซีกเหนือก็มากขึ้น นั่นหมายความว่า กล้องถ่ายภาพและสเปกโตรมิเตอร์ในย่านรังสีอินฟราเรดใกล้บนยาน Cassini อาจสามารถทำแผนที่ของทะเลที่ซีกเหนือของดาวได้” 

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

ดาวเนปจูน

:)  Shalunla

ดาวเนปจูน



       ดาวเนปจูน (อังกฤษ: Neptune) หรือชื่อไทยว่า ดาวสมุทร หรือ ดาวเกตุ คือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะลำดับสุดท้ายที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ (ขึ้นอยู่กับการโคจรของดาวพลูโต ซึ่งบางครั้งจะเข้ามาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า แต่ปัจจุบันดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว) ตัวดาวมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และมีมวลเป็นลำดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์ คำว่า "เนปจูน" นั้นตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของโรมัน (กรีก : โปเซดอน) มีสัญลักษณ์เป็น (♆)

       ดาวเนปจูนมีสีน้ำเงิน เนื่องจากองค์ประกอบหลักของบรรยากาศผิวนอกเป็น ไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทน บรรยากาศของดาวเนปจูน มีกระแสลมที่รุนแรง (2500 กม/ชม.) อุณหภูมิพื้นผิวอยู่ที่ประมาณ -220℃ (-364 °F) ซึ่งหนาวเย็นมาก เนื่องจาก ดาวเนปจูนอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในของดาวเนปจูน ประกอบด้วยหินและก๊าซร้อน อุณหภูมิประมาณ 7,000℃ (12,632 °F) ซึ่งร้อนกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์เสียอีก

       ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวาร 8 หรือ 14 ดวง และดวงใหญ่มากที่สุดมีชื่อว่า ไทรทัน ส่วนดวงเล็กมากที่สุดมีชื่อว่า S/2004 N 1




       ดาวเนปจูน  (Neptune) ถูกค้นพบเนื่องจากนักดาราศาสตร์พบว่า ตำแหน่งของดาวยูเรนัสในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ไม่ได้เป็นไปตามกฏของนิวตันจึงตั้งสมมติฐานว่า จะต้องมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่อยู่ไกลถัดออกไปมารบกวนวงโคจรของดาวยูเรนัส ในที่สุดดาวเนปจูนก็ถูกค้นพบโดย โจฮานน์ กัลเล ในปี พ.ศ.2389  ต่อมาในปี พ.ศ.2532 ยานวอยเอเจอร์ 2 พบว่า ดาวเนปจูนมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับดาวยูเรนัส คือ มีบรรยากาศเป็นไฮโดรเจนและฮีเลียม และมีมีเทนเจือปนอยู่จึงมีสีน้ำเงิน ดาวเนปจูนมีขนาดเล็กกว่าดาวยูเรนัสเล็กน้อย แต่มีความหนาแน่นมากกว่า โดยที่แก่นของดาวเนปจูนเป็นของแข็งมีขนาดใกล้เคียงกับโลกของเรา  ในช่วงเวลาที่ยานวอยเอเจอร์ 2 เข้าใกล้ดาวเนปจูนได้ถ่ายภาพ จุดมืดใหญ่ (Great dark spot) ทางซีกใต้ของดาวมีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี (ประมาณเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก) จุดมืดใหญ่นี้เป็นพายุหมุนเช่นเดียวกับจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี มีกระแสลมพัดแรงที่สุดในระบบสุริยะ ความเร็วลม 300 เมตร/วินาที หรือ 1,080 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 
       ดาวเนปจูนมีวงแหวน 4 วง แต่ละวงมีความสว่างไม่มากนัก เพราะประกอบด้วยอนุภาคที่เป็นผงฝุ่นขนาดเล็ก จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกับวงแหวนของดาวพฤหัสบดีและดาวยูเรนัส  ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 13 ดวง ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่สุดชื่อ "ทายตัน" (Triton)  ทายตันเคลื่อนที่ในวงโคจรโดยมีทิศทางสวนกับการหมุนรอบตัวเองของดาวเนปจูน ซึ่งอาจเป็นเพราะถูกแรงโน้มถ่วงของดาวเนปจูนจับเป็นบริวารภายหลังจากการก่อตัวของระบบสุริยะ  นักดาราศาสตร์พยากรณ์ว่า ทายตันจะโคจรเข้าใกล้ดาวเนปจูนเรื่อยๆ และจะพุ่งเข้าชนดาวเนปจูนในที่สุด (อาจใช้เวลาเกือบ 100 ล้านปี)

ข้อมูลสำคัญ​




ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 4,498 ล้านกิโลเมตร
คาบวงโคจร 164.8 ปี  
ความรีของวงโคจร 0.0086
ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี 1.769° 
แกนเอียง 29.58°
หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 16.11 ชั่วโมง 
รัศมีของดาว 24,764 กิโลเมตร
มวล 17.147 ของโลก
ความหนาแน่น 1.64 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร 
แรงโน้มถ่วง 10.71 เมตร/วินาที2 
องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ ไฮโดรเจน ฮีเลียม
อุณหภูมิ  -214°C 
ดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 13 ดวง  
วงแหวนที่ค้นพบแล้ว 6 วง

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ดาวอังคาร

:)  Shalunla

 ดาวอังคาร : Mars




       ดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 4 ชื่อละตินของดาวอังคาร (Mars) มาจากชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน หรือตรงกับเทพเจ้า Ares ของกรีก เป็นเพราะดาวอังคารปรากฏเป็นสีแดงคล้ายสีโลหิต บางครั้งจึงเรียกว่า "ดาวแดง" หรือ "Red Planet" (ความจริงมีสีค่อนไปทางสีส้มอมชมพูมากกว่า) ชื่อจีน เป็น 火星 ความหมายว่าดาวไฟเพาระสีส้มของมัน สัญลักษณ์แทนดาวอังคาร คือ ♂ เป็นโล่และหอกของเทพเจ้ามาร์ส ดาวอังคารมีดาวบริวารหรือดวงจันทร์ขนาดเล็ก 2 ดวง คือ โฟบอสและไดมอส โดยทั้งสองดวงมีรูปร่างบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปกลม ซึ่งคาดกันว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่หลงเข้ามาแล้วดาวอังคารคว้าดึงเอาไว้ให้อยู่ในเขตแรงดึงดูดของตน

       ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์หิน (terrestrial planet) มีชั้นบรรยากาศเบาบาง พื้นผิวมีลักษณะคล้ายคลึงทั้งหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ และภูเขาไฟ หุบเขา ทะเลทราย และบริเวณน้ำแข็งขั้วโลก บนโลก ดาวอังคารมีภูเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะคือ ภูเขาไฟโอลิมปัส (Olympus Mons) และหุบเขาลึกที่มีชื่อว่า มาริเนริส (Marineris) ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008 มีบทความ 3 บทความตีพิมพ์ลงในนิตรสาร "Nature" เกี่ยวกับหลักฐานของหลุมอุกกาบาตที่ใหญ่มหึมา โดยมีความกว้าง 8,500 กิโลเมตร ยาว 10,600 กิโลเมตร นอกจากนั้นสิ่งที่ดาวอังคารมีและคล้ายคลึงกับโลกก็คือคาบการหมุนรอบตัวเองและฤดูกาล

          ดาวอังคารสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีค่าความส่องสว่างปรากฏอยู่ที่ระหว่าง -2.0 – 2.0 มีเพียงแค่ดาวศุกร์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ที่สว่างกว่า (ดาวพฤหัสในบางครั้ง)

การค้นหาสิ่งมีชีวิตในดาวอังคาร


เบาะแสจากซากฟอสซิล

       เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2544 ดาวอังคารโคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดด้วยระยะทางประมาณ 59 ล้านกิโลเมตร เราสามารถมองเห็นดาวสีแดงดวงนี้เด่นเป็นสง่าอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มดาวแมลงป่องหรือจักราศี พิจิก (Scorpius) ตั้งแต่หัวค่ำยันเกือบรุ่งสาง จากอดีตที่ผ่านมาเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถส่งยานอวกาศขึ้นไปโคจรรอบๆดาวอังคาร ทำให้องค์การนาซ่าได้อกได้ใจ และยอมลงทุนลงแรงอย่างมากต่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้

       ก่อนหน้าที่จะมาถึงยุคของนาซ่า นักดาราศาสตร์รุ่นเก๋าอย่าง กีโอวานี่ เชียร์พาเรรี่ (Giovanni  Schiaparelli) ได้ส่องกล้องโทรทัศน์เห็นรอยเส้นขีดๆบนดาวอังคารเมื่อ พ.ศ.2420 พี่แกพูดเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า Canali แต่มีคนไปแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบผิดเพี้ยนว่า Canal เลยทำให้สาธารณชนคิดว่ามีคลองส่งน้ำอยู่บนดาวอังคาร ประกอบกับการใส่ไข่ขยายความของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวอเมริกัน ชื่อ เปอร์ซิวาล โรเวล (Percival Lowell) ทำให้คลองบนดาวอังคารกลายเป็นเรื่องฮือฮาไปพักใหญ่ พี่แกเล่นบรรยายว่าคลองเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้มีภูมิปัญญาสูง มือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อกระฉ่อนอย่าง เฮจ จี เวล (H.G. wells) จับมุขนี้ไปเขียนเป็นนิยายดังขายดิบขายดีเรื่อง สงครามระหว่างดาว (The War of the Worlds) เมื่อ พ.ศ.2441 เมื่อเร็วๆนี้ประมาณต้นปี 2549 ก็มีภาพยนตร์แนวเอเลี่ยนมาฉายที่เมืองไทย ผมก็ยังได้ดูเขาสร้างได้สนุกครับ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเข้ายึดครองโลกด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้น ปืนผาหน้าไม้และขีปนาวุธสุดยอดไฮเทคของกองทัพสหรัฐกลายเป็นไม้จิ๋มฟันที่ไม่ระคายผิวพวกมันแม้แต่น้อย ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ตอนสุดท้ายโลกมนุษย์มีทีเด็ดแบบหมัดน็อก บรรดาเอเลี่ยนทั้งหลายติดเชื้อแบคทีเรียธรรมดาๆที่กระจายอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติป่วยตายเป็นใบไม้ร่วง พวกมันมีเทคโนโลยีสูงส่งเหลือรับประทานแต่ร่างกายไร้ภูมิคุ้มกันแบบซุปเปอร์เอดส์ จุลชีวัน (Micro organism) เพื่อนร่วมโลกตัวเล็กๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กลายเป็นฮีโร่แบบม้ามืดตีนปลาย

          สหรัฐและสหภาพโซเวียต ต่างส่งยานอวกาศของตนมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เป็นต้นมา เริ่มต้นด้วย ยานมารีนเน่อร์-4 ของนาซ่า แต่ที่ได้ข้อมูลเป็นเนื้อเป็นหนังชิ้นแรกๆเห็นจะได้แก่ยานสำรวจที่ชื่อ ไวกิ้ง-1และไวกิ้ง-2 ปล่อยออกไปเมื่อ วันที่ 20 สิงหาคม และ 9 กันยายน พ.ศ.2518 ตามลำดับ ทั้งคู่เข้าสู่วงโคจรระยะประชิดของดาวอังคาร ในอีก 10 เดือนต่อมา และได้รับคำสั่งจากศูนย์ควบคุมให้ปล่อยยานลูก (The Lander) ลงสู่พื้นผิวดาวอังคาร เพื่อปฏิบัติการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือไฮเทคที่เตรียมไป โดยไวกิ้ง-1 เน้นวิเคราะห์เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต ส่วนไวกิ้ง-2 เน้นการตรวจสอบภาวะสิ่งแวดล้อม เช่น ความเร็วลม องค์ประกอบแร่ธาตุ จากรายงานอย่างเป็นทางการขององค์การนาซ่า มีผลสรุป ดังนี้


1. ความกดอากาศ ประมาณ 7 มิลลิบาร์(ความกดอากาศของโลกเท่ากับ 1 บาร์ หรือ 10 มิลลิบาร์)

2. องค์ประกอบแร่ธาตุ ซิลิกอน 44% อลูมิน่า 5.5% เหล็ก 18% ไททาเนี่ยม 0.9% โปตัสเซี่ยม 0.3%


3. ผลการตรวจวิเคราะห์หาอินทรีย์วัตถุซึ่งเป็นหลักฐานของ "สิ่งมีชีวิต" ปรากฏว่ายังไม่พบ


       แต่นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าดาวอังคารไร้สิ่งมีชีวิต เพราะเป็นการวิเคราะห์ในระยะไกล ถ้าจะให้แน่ใจแบบ ชัวร์ป้าดต้องส่งวัสดุกลับมาวิเคราะห์ ในห้องแล็ปที่โลก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่องค์การนาซ่า เห็นจะได้แก่เรื่องราวของ การค้นพบซากฟอสซิลของจุลชีวัน ในก้อนหินจากดาวอังคาร ชื่อว่า ALH84001 ที่ทุ่งน้ำแข็งขั้วโลกใต้  


ลักษณะของหิน




1. ประมาณ 3.5 ล้านปีที่แล้ว พื้นผิวดาวอังคารอุดมไปด้วยน้ำและมีสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลชีวัน (Microbes) สิ่งเหล่านี้เมื่อตายลงส่วนหนึ่งกลายเป็นซากฟอสซิลฝังตัวอยู่ในก้อนหิน

2. สิ่งแวดล้อมของดาวอังคารเสื่อมโทรมลง ชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่หายไป กลายเป็นโลกที่รกร้างว่างเปล่า


3. ประมาณ 16 ล้านปีที่แล้ว แอสตีรอยส์หรือดาวหาง พุ่งเข้าชนดาวอังคาร กระแทกให้ก้อนหินจำนวนหนึ่งกระเด็นหลุดออกไปในอวกาศ


4. หินจำนวนนี้โคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์ตามกฎของแรงดึงดูด และเมื่อ 13,000 ปีที่แล้วได้ตกลงสู่ผิวโลกที่ขั้วโลกใต้ในบริเวณเนินเขาชื่อ Allan Hills


5. ฤดูร้อนปี พ.ศ.2527 นักธรณีวิทยา ชื่อ Roberta Score เธอสังเกตเห็นหินรูปร่างแปลกนอนสงบนิ่งอยู่ในน้ำแข็ง เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่แต่ก็ด้วยสัญชาติยานของนักวิทยาศาสตร์ เธอเก็บมันใส่ย่ามและส่งไปให้ศูนย์วิจัยด้านอวกาศ Johnson Space Centre ที่เมือง Houston รัฐTexas และก็ถูกเก็บแช่ไนโตรเจนเหลวเป็นเวลา 8 ปี ความจริงศูนย์วิจัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเก็บหินจากพระจันทร์ในโครงการอะพอลโล่


6. ปี พ.ศ.2536 หินก้อนนี้ถูกนำมาวิเคราะห์ และพบว่ามันเป็นหินที่มาจากดาวอังคารเพราะมีคุณสมบัติประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นธาตุหลัก (ยืนยันโดยผลสำรวจของยานไวกิ้ง) มีการแบ่งชิ้นส่วนของหินส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยกันตรวจ โดยไม่ได้บอกว่าหินก้อนนี้มาจากไหน


7. นักเคมีชาวอังกฤษ ชื่อ ไซม่อน คลีเม้น (Simon Clement) ซึ่งกำลังทำวิจัยระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ได้รับชิ้นส่วนของหินและทำการตรวจตามกรรมวิธีที่ร่ำเรียนมาจนเสร็จสิ้นขบวนการ ไซม่อน ส่งผลการวิเคราะห์กลับไปให้องค์การนาซ่าโดยไม่ทราบว่าหินก้อนนี้มาจากไหน แต่ที่แน่ๆอีตานักเคมีจากเมืองผู้ดี รับทรัพย์ค่าตรวจไปเรียบร้อยตามระเบียบ


8. สองปีต่อมา ในเช้าวันหนึ่ง ของต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2539 ท่านด๊อกเตอร์ไซม่อน (ตอนนี้เรียนจบและกลับมาทำงานอยู่ที่บ้านเกิดในประเทศอังกฤษแล้ว) ต้องถูกปลุกให้ตื่นโดยเสียงโทรศัพท์จากลูกพี่เก่าตอนนี้เป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ที่เคยเรียนปริญญาเอก ลูกพี่เก่าส่งเสียงโว้กเว็กมาตามสายว่า เฮ้ย สู้เจ้ารีบเผ่นชนิดแปดแสนจับเที่ยวบินแรกตรงมายังกรุงวอชิงตัน แกรู้ไม้ว่าตอนนี้แกดังระเบิดแล้ววะ ดูหนังสือพิมพ์เช้านี้ซิเขาลงข่าวของแกกันใหญ่ อีตาด๊อกเตอร์ชาวผู้ดีงงเป็นไก่ตาแตกเพราะพบว่าที่สนามบินกรุงวอชิงตันมีนักข่าวมารุมล้อมเต็มไปหมด หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงท่านประธานาธิบดีรูปหล่อแห่งสหรัฐ บิลส์ คลินตัน กำลังจะเปิดแถลงข่าว การค้นพบฟอสซิลของจุลชีวันจากดาวอังคาร ซึ่งยืนยันว่าที่นั่นมี " ชีวิต "